
เราได้เดินทางผ่านการวางรากฐานด้วย "ศีล" และการสร้างพลังจิตด้วย "สมาธิ" มาแล้ว บัดนี้เรามาถึงยอดสุดของไตรสิกขา ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดและเป็นเป้าหมายของการฝึกฝนทั้งมวล นั่นคือ "ปัญญา" หากศีลคือพื้นดิน สมาธิคือเสาเข็ม ปัญญาก็คือตัวอาคารและหลังคาที่ให้ความร่มเย็นและสมบูรณ์แก่การเดินทาง ปัญญาในที่นี้ไม่ใช่ความรู้ทางโลกหรือความฉลาดในการคิดคำนวณ แต่คือ "ความรู้แจ้งเห็นจริง" ในสภาวธรรมตามที่เป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเห็นแจ้งในอริยสัจ 4 และกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
หมวดปัญญาในมรรคมีองค์ 8 ประกอบด้วยองค์มรรค 2 ประการ คือ สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ) และที่สำคัญที่สุดคือ สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) ซึ่งทำหน้าที่เป็นประดุจกัปตันเรือหรือผู้นำทางของมรรคทั้ง 7 ที่เหลือทั้งหมด
สัมมาสังกัปปะ หรือ ความดำริชอบ คือการยกระดับความคิดให้สูงขึ้น เป็นการปรุงแต่งความคิดไปในทางที่เป็นกุศลและออกจากทุกข์ เป็นสะพานเชื่อมระหว่างความเข้าใจ (สัมมาทิฏฐิ) กับการกระทำ (สัมมาวาจา, สัมมากัมมันตะ) ประกอบด้วย 3 ประการ:
ความคิดทั้งสามนี้เป็น "ความคิดฝ่ายดี" ที่จะคอยชี้นำการกระทำและคำพูดของเราให้ถูกต้องดีงามอยู่เสมอ
สัมมาทิฏฐิ หรือ ความเห็นชอบ คือองค์มรรคข้อแรกและข้อที่สำคัญที่สุด พระพุทธองค์ตรัสว่าสัมมาทิฏฐิเป็นดั่งรุ่งอรุณอันเป็นนิมิตหมายของการมาถึงแห่งดวงอาทิตย์ฉันใด สัมมาทิฏฐิก็เป็นตัวนำ เป็นประธานของมรรคองค์อื่นๆ ฉันนั้น หากปราศจากสัมมาทิฏฐิแล้ว การปฏิบัติอื่นๆ ทั้งหมดก็อาจกลายเป็นการกระทำที่สูญเปล่าหรือหลงทางได้ (เช่น การรักษาศีลอย่างงมงาย หรือการทำสมาธิเพื่อฤทธิ์เดช)
สัมมาทิฏฐิคืออะไร? โดยแก่นแท้แล้ว สัมมาทิฏฐิคือความเข้าใจที่ถูกต้องในหลักการสำคัญ 2 ประการ:
เมื่อปัญญาเห็นแจ้งในอริยสัจ 4 อย่างสมบูรณ์แล้ว เมื่อนั้นเองที่ "อวิชชา" หรือความไม่รู้ซึ่งเป็นรากเหง้าของกิเลสทั้งปวงจะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง จิตจะหลุดพ้นจากอาสวะ (กิเลสที่หมักดองในสันดาน) และเข้าถึงความดับทุกข์คือ "นิพพาน" ได้ในที่สุด
ดังนั้น การเดินทางบนเส้นทางอริยมรรคจึงเริ่มต้นด้วย "ปัญญา" (การฟังธรรมจนเกิดสัมมาทิฏฐิ) ดำเนินไปพร้อมกับการรักษา "ศีล" ให้บริสุทธิ์ ฝึกฝน "สมาธิ" ให้ตั้งมั่น และจบลงด้วย "ปัญญา" ที่แก่กล้าจนสามารถตัดกิเลสและบรรลุเป้าหมายสูงสุดได้ เป็นวงจรที่เกื้อหนุนกันอย่างสมบูรณ์แบบ