
หลังจากที่เราได้ทำความเข้าใจ "อริยสัจ 4" ซึ่งเป็นกรอบการวินิจฉัยและแผนการรักษาความทุกข์ในภาพรวมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการลงลึกในรายละเอียดของ "ยา" หรือวิธีการปฏิบัติ ซึ่งก็คือ "มรรค" หรือ "อริยมรรคมีองค์ 8" นี่คือหนทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมเพียงหนึ่งเดียวที่จะนำพาผู้ปฏิบัติไปสู่ "นิโรธ" หรือความดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง พระพุทธองค์ทรงเรียกหนทางนี้ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" หรือทางสายกลาง เพราะเป็นแนวทางที่ไม่สุดโต่งไปในทางใดทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการทรมานตนให้ลำบาก (อัตตกิลมถานุโยค) หรือการหมกมุ่นในความสุขทางกามารมณ์ (กามสุขัลลิกานุโยค) มรรคมีองค์ 8 คือการเดินทางสายปัญญาที่สมดุลและสมบูรณ์ในตัวเอง โดยองค์ประกอบทั้ง 8 ประการนี้จะต้องเจริญควบคู่กันไป และสามารถจัดกลุ่มเป็นหมวดใหญ่ได้ 3 หมวดที่เรียกว่า "ไตรสิกขา" คือ ศีล สมาธิ และปัญญา
ปัญญาเป็นองค์ประกอบนำทาง เปรียบเสมือนแสงสว่างที่ทำให้เราเห็นเส้นทางได้ชัดเจน ประกอบด้วย 2 องค์มรรค
1. สัมมาทิฏฐิ (Right Understanding): ความเห็นชอบ คือความเข้าใจที่ถูกต้องในสภาวธรรมตามความเป็นจริง เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด หากปราศจากสัมมาทิฏฐิแล้ว การปฏิบัติในข้ออื่นๆ ก็อาจผิดเพี้ยนไปได้ ความเห็นชอบในเบื้องต้นคือ การเชื่อและเข้าใจในเรื่องกฎแห่งกรรม การมีอยู่ของบุญ-บาป โลกนี้-โลกหน้า คุณของบิดามารดา และการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แต่สัมมาทิฏฐิในระดับสูงสุดคือ การเห็นแจ้งในอริยสัจ 4 อย่างปรุโปร่ง คือรู้ชัดว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุแห่งทุกข์ อะไรคือความดับทุกข์ และอะไรคือหนทางสู่ความดับทุกข์ รวมถึงความเข้าใจในหลักไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) อย่างถ่องแท้
2. สัมมาสังกัปปะ (Right Thought): ความดำริชอบ คือความคิดที่ถูกต้อง เมื่อมีความเห็นที่ถูกต้องแล้ว ความคิดก็จะโน้มเอียงไปในทางที่ถูกที่ควร สัมมาสังกัปปะประกอบด้วย 3 ประการ คือ
ศีลคือการสำรวมระวังกายและวาจาให้เรียบร้อยดีงาม เป็นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาสมาธิและปัญญาต่อไป หากกายและวาจายังไม่สงบ จิตใจก็ยากที่จะสงบได้ ประกอบด้วย 3 องค์มรรค
3. สัมมาวาจา (Right Speech): เจรจาชอบ คือการใช้วาจาที่ถูกต้องดีงาม งดเว้นจากวจีทุจริต 4 ประการ ได้แก่ ไม่พูดเท็จ (มุสาวาทา) ไม่พูดส่อเสียด ยุยงให้คนแตกแยก (ปิสุณาย วาจาย) ไม่พูดคำหยาบคาย (ผรุสาย วาจาย) และไม่พูดเพ้อเจ้อ ไร้สาระ (สัมผัปปลาปา) การพูดแต่คำจริง คำสุภาพ คำที่เป็นประโยชน์ และพูดถูกกาลเทศะ คือสัมมาวาจา
4. สัมมากัมมันตะ (Right Action): การงานชอบ คือการกระทำทางกายที่ถูกต้องดีงาม งดเว้นจากกายทุจริต 3 ประการ ได้แก่ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น (ปาณาติปาตา) ไม่ลักทรัพย์หรือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ (อทินนาทานา) และไม่ประพฤติผิดในกาม (กาเมสุมิจฉาจารา)
5. สัมมาอาชีวะ (Right Livelihood): เลี้ยงชีพชอบ คือการประกอบอาชีพที่สุจริต ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรม งดเว้นจากการค้าขายที่นำไปสู่ความเสื่อมเสีย เช่น ค้ามนุษย์ ค้าอาวุธ ค้ายาพิษ ค้ายาเสพติด และค้าน้ำเมา การเลี้ยงชีพด้วยความซื่อสัตย์และยุติธรรมคือสัมมาอาชีวะ
สมาธิคือการฝึกฝนจิตใจให้มีคุณภาพ มีความสงบ ตั้งมั่น และมีพลัง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเจริญปัญญาให้เห็นแจ้งความจริง ประกอบด้วย 3 องค์มรรค
6. สัมมาวายามะ (Right Effort): พยายามชอบ คือความเพียรพยายามใน 4 ทิศทาง (ปธาน 4) ได้แก่
7. สัมมาสติ (Right Mindfulness): ระลึกชอบ คือความมีสติระลึกรู้อยู่เสมอในสภาวะปัจจุบันขณะ ไม่หลงลืม ไม่เผลอไผล หลักปฏิบัติที่สำคัญคือ "สติปัฏฐาน 4" คือการมีสติพิจารณา กาย เวทนา จิต และธรรม ตามความเป็นจริง ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใชตัวตน
8. สัมมาสมาธิ (Right Concentration): ตั้งใจมั่นชอบ คือการมีจิตใจที่แน่วแน่ ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวอย่างสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ซึ่งเป็นผลมาจากการเจริญสติอย่างต่อเนื่อง จนจิตรวมเป็นหนึ่งเข้าสู่ระดับฌานสมาบัติต่างๆ จิตที่เป็นสมาธิจะมีกำลังมาก เปรียบเหมือนน้ำที่นิ่งใสจนมองเห็นสิ่งที่อยู่ก้นบึ้งได้ฉันใด จิตที่เป็นสมาธิก็ย่อมมีพลังพอที่จะเห็นแจ้งแทงตลอดในสัจธรรมได้ฉันนั้น
มรรคมีองค์ 8 ไม่ใช่การปฏิบัติเป็นข้อๆ เรียงลำดับไป แต่เป็นองค์รวมที่ต้องพัฒนาไปพร้อมกัน สัมมาทิฏฐิเป็นเหมือนหางเสือเรือที่คอยคุมทิศทาง ในขณะที่องค์มรรคอื่นๆ เป็นเหมือนเครื่องยนต์และส่วนประกอบที่ทำให้เรือแล่นไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและถูกทิศทาง จนกระทั่งถึงฝั่งแห่งพระนิพพานในที่สุด