
หลังจากที่เราได้วางรากฐานชีวิตให้มั่นคงด้วย "ศีล" แล้ว ก้าวต่อไปบนเส้นทางแห่งไตรสิกขาคือการฝึกฝนในหมวด "สมาธิ" ซึ่งเป็นการทำงานกับจิตใจโดยตรง หากศีลเปรียบเหมือนการเตรียมพื้นดินให้ราบเรียบ สมาธิก็เปรียบเสมือนการขุดเสาเข็มลงไปให้ลึกและแข็งแกร่ง เพื่อรองรับโครงสร้างของปัญญาที่จะตามมา จิตที่ไม่ได้ฝึกฝนก็เหมือนน้ำที่ขุ่นมัวและกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา ทำให้มองไม่เห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง แต่จิตที่ได้รับการฝึกฝนจนมีสมาธิแล้ว จะนิ่งใสและทรงพลัง สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสอดส่องให้เห็นสัจธรรมได้
หมวดสมาธิในมรรคมีองค์ 8 ประกอบด้วยองค์มรรค 3 ประการที่ทำงานสอดประสานกันอย่างใกล้ชิด คือ สัมมาวายามะ (ความพยายามชอบ), สัมมาสติ (ความระลึกชอบ), และ สัมมาสมาธิ (ความตั้งใจมั่นชอบ)
ความพยายามเป็นสิ่งที่ดี แต่หากพยายามผิดทิศทางก็อาจไม่เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษได้ สัมมาวายามะคือการใช้ความเพียรอย่างชาญฉลาด โดยมุ่งเน้นไปที่การจัดการกับสภาพจิตที่เป็นกุศลและอกุศล มีหลักการที่เรียกว่า "ปธาน 4" (The Four Great Efforts) ดังนี้:
สัมมาวายามะคือการทำ "จิตเกษตรกรรม" อย่างต่อเนื่อง คือคอยถอนวัชพืช (อกุศล) และหมั่นรดน้ำพรวนดินให้กับพืชผล (กุศล) อยู่เสมอ
สัมมาสติ คือการ "ระลึกรู้" หรือ "ความตื่นตัว" อยู่กับปัจจุบันขณะ ไม่ปล่อยให้ใจล่องลอยไปในอดีตหรือฟุ้งซ่านไปในอนาคต สติเปรียบเสมือนนายทวารผู้เฝ้าประตูเมือง (ใจ) คอยดูว่าใคร (อารมณ์/ความคิด) เข้าออกบ้าง แต่ไม่เข้าไปตัดสินหรือแทรกแซง เป็นเพียงการ "รู้ทัน" สภาวะที่กำลังเกิดขึ้นตามความเป็นจริง หลักการฝึกสติที่สำคัญที่สุดคือ "สติปัฏฐาน 4" (The Four Foundations of Mindfulness) ซึ่งเป็นการเฝ้าดู 4 ฐานที่ตั้งของสติ:
เมื่อมีความเพียร (สัมมาวายามะ) ที่ถูกต้อง และมีสติ (สัมมาสติ) กำกับอยู่เสมอ ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ สัมมาสมาธิ ซึ่งคือความตั้งมั่นแห่งจิต จิตที่มีสมาธิคือจิตที่สงบ แน่วแน่ และตั้งมั่นอยู่กับอารมณ์เดียว (เอกัคคตา) ไม่วอกแวกฟุ้งซ่าน สมาธิในทางพระพุทธศาสนานั้นมีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับต้นที่เรียกว่า "ขณิกสมาธิ" (สมาธิชั่วขณะ), "อุปจารสมาธิ" (สมาธิที่ใกล้จะแน่วแน่) ไปจนถึงระดับลึกที่เรียกว่า "อัปปนาสมาธิ" หรือ "ฌาน" (Jhāna) ซึ่งเป็นสภาวะที่จิตสงบจากนิวรณ์โดยสิ้นเชิงและประกอบด้วยความสุขที่ประณีต
จิตที่เป็นสมาธิเช่นนี้ จะมีคุณภาพพิเศษคือ นุ่มนวล ควรแก่การงาน (กัมมนีโย) และตั้งมั่นไม่หวั่นไหว (อาเนญชัปปัตโต) เปรียบเสมือนน้ำในอ่างที่นิ่งสนิท ใสสะอาด จนสามารถมองเห็นก้นอ่างได้อย่างชัดเจน จิตที่เป็นสมาธินี้เองที่พร้อมจะถูกนำไปใช้ในขั้นตอนสุดท้าย คือการเจริญ "ปัญญา" เพื่อให้เห็นแจ้งในความจริงของสรรพสิ่งต่อไป