
เมื่อกล่าวถึงกิเลสที่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์และการเวียนว่ายตายเกิด นอกจากอกุศลมูลและอนุสัยกิเลสแล้ว ยังมีธรรมะอีกหมวดหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ และมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด นั่นคือ อาสวะ 4 คำว่า "อาสวะ" มีความหมายหลายนัย ทั้งแปลว่า ของหมักดอง, สิ่งที่ไหลซึม, หรือกิเลสที่ซึมซาบย้อมใจให้เศร้าหมอง เปรียบได้กับสุราที่ถูกหมักดองไว้เป็นเวลานานจนมีฤทธิ์รุนแรง หรือเปรียบเหมือนหนองที่ไหลซึมออกจากแผลที่ไม่เคยหายสนิท อาสวะเป็นกิเลสระดับลึกที่นอนเนื่องและหมักหมมอยู่ในจิตสันดานมาข้ามภพข้ามชาติ เป็นพลังขับเคลื่อนหลักที่ทำให้สรรพสัตว์ต้องท่องเที่ยวไปในวัฏสงสาร การทำความเข้าใจและการกำจัดอาสวะให้สิ้นซาก คือเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา
ทำความเข้าใจอาสวะทั้ง 4 ประการ
อาสวะ 4 เป็นกิเลสที่ครอบคลุมความยึดติดทั้งปวง เป็นบ่อเกิดแห่งอุปาทานหรือความยึดมั่นถือมั่นอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์โดยตรง ประกอบด้วย
1. กามาสวะ: อาสวะคือกาม คือความอยาก ความใคร่ ความพอใจในกามคุณทั้ง 5 (รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) ที่หมักดองอยู่ในจิตใจ เป็นพลังขับเคลื่อนให้แสวงหาความสุขทางประสาทสัมผัสอย่างไม่สิ้นสุด ทำให้จิตใจต้องวนเวียนอยู่กับความยินดีและความผิดหวังในสิ่งเหล่านี้ เป็นอาสวะที่ผูกมัดสัตว์ไว้ในกามโลก
2. ภวาสวะ: อาสวะคือภพ คือความอยากในภพ ความอยากมีอยากเป็น ความยึดติดในความมีอยู่ของตนเอง รวมถึงความปรารถนาที่จะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่า เช่น รูปภพ (พรหมโลกที่มีรูป) หรืออรูปภพ (พรหมโลกที่ไม่มีรูป) จากผลของฌานสมาบัติ ภวาสวะเป็นรากฐานของความกลัวตาย และเป็นความยึดติดใน "ภาวะ" ของความเป็นตัวตนที่ลึกซึ้ง
3. ทิฏฐาสวะ: อาสวะคือทิฏฐิ คือความเห็นผิดต่างๆ ที่นอนเนื่องและหมักหมมอยู่ในใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความเห็นว่ามีตัวตนถาวร (สัสสตทิฏฐิ) หรือความเห็นว่าตายแล้วสูญ (อุจเฉททิฏฐิ) ทิฏฐิเหล่านี้ทำให้เรามองโลกและชีวิตผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง และเป็นฐานให้เกิดการกระทำที่ผิดพลาดตามมา
4. อวิชชาสวะ: อาสวะคืออวิชชา คือความไม่รู้ในอริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ตามความเป็นจริง ความไม่รู้นี้เป็นอาสวะตัวมูลฐานและเป็นรากแก้วของอาสวะอื่นๆ ทั้งหมด เปรียบเสมือนความมืดที่ทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง เมื่อมีอวิชชา จึงเกิดความเห็นผิด (ทิฏฐาสวะ) เกิดความอยากในภพ (ภวาสวะ) และเกิดความอยากในกาม (กามาสวะ) ตามมา
ความสัมพันธ์ระหว่างอาสวะกับการดับทุกข์
ในหลักอริยสัจ 4 พระพุทธองค์ทรงชี้ว่าเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) ก็คือตัณหา แต่ในบางพระสูตร พระองค์ก็ทรงชี้ว่าอาสวะก็คือตัวสมุทัยเช่นกัน ดังพุทธพจน์ที่ว่า "เพราะอาสวะเป็นเหตุ ทุกข์จึงเกิดขึ้น" แสดงให้เห็นว่าอาสวะคือต้นตอที่ลึกซึ้งของวงจรทุกข์ ดังนั้น การดับทุกข์ (นิโรธ) ที่แท้จริง จึงหมายถึง ความสิ้นไปแห่งอาสวะ (อาสวักขยะ) นั่นเอง
ผู้ที่สามารถทำลายอาสวะให้หมดสิ้นไปได้โดยสิ้นเชิง คือ พระอรหันต์ ซึ่งเป็นผู้บรรลุ อาสวักขยญาณ คือ ญาณหยั่งรู้ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งปวง เมื่ออาสวะถูกทำลาย จิตก็จะหลุดพ้นจากอำนาจของกิเลสทั้งปวงโดยสมบูรณ์ ไม่มีการสร้างกรรมใหม่ที่จะนำไปสู่การเกิดอีกต่อไป เป็นการจบสิ้นวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เข้าถึงพระนิพพานอันเป็นบรมสุข
แนวทางการปฏิบัติเพื่อขจัดอาสวะ
การจะกำจัดอาสวะซึ่งเป็นของหมักดองที่ฝังรากลึกมานานแสนนานนั้น ต้องอาศัยความเพียรในการปฏิบัติอย่างครบวงจรตามหลักไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา
ดังนั้น การเดินทางเพื่อความพ้นทุกข์ ก็คือการเดินทางเพื่อชำระจิตให้สิ้นจากอาสวะทั้ง 4 ประการนี้ เมื่อใดที่จิตบริสุทธิ์จากของหมักดองเหล่านี้ได้อย่างหมดจด เมื่อนั้นอิสรภาพและความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนก็จะปรากฏขึ้น