
ในทางพระพุทธศาสนา การจะทำความเข้าใจเรื่องการดับทุกข์ให้ถึงแก่นแท้ได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จัก "เหตุแห่งทุกข์" เสียก่อน ซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงชี้ชัดลงไปที่ต้นตออันเป็นรากเหง้าของกิเลสและความทุกข์ทั้งมวล นั่นคือ อกุศลมูล 3 หรือรากเหง้าของความชั่ว 3 ประการ อันได้แก่ โลภะ โทสะ และโมหะ สิ่งเหล่านี้มิใช่เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบที่เกิดขึ้นแล้วดับไป แต่เป็นดังรากแก้วที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของปุถุชน คอยหล่อเลี้ยงกิเลสตัวอื่นๆ ให้เจริญงอกงาม และผลักดันให้เราสร้างกรรมอันนำมาซึ่งความทุกข์ไม่สิ้นสุด การทำความเข้าใจอกุศลมูลจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในการเดินทางสู่การดับทุกข์
โลภะ: ความอยากได้ไม่สิ้นสุด เชื้อไฟแห่งความดิ้นรน
โลภะ คือ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ความปรารถนาในสิ่งต่างๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่น่าพอใจ หรือแม้กระทั่งความอยากในนามธรรม เช่น ชื่อเสียง เกียรติยศ อำนาจ โลภะทำงานโดยอาศัย "ตัณหา" หรือความทะยานอยากเป็นเครื่องมือ มันทำให้จิตใจของเราเกิดความดิ้นรน กระสับกระส่าย ไม่เคยรู้จักความพอดี เมื่อได้สิ่งหนึ่งมาแล้ว ก็ยังอยากได้สิ่งอื่นต่อไปเรื่อยๆ เปรียบได้กับไฟที่ยิ่งได้เชื้อเพลิงก็ยิ่งลุกลาม ไม่เคยมีวันอิ่ม
ความน่ากลัวของโลภะคือ มันทำให้เรามองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ แต่มุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่ยังไม่มี ทำให้ชีวิตเต็มไปด้วยความขาดแคลนและความทุกข์จากการแสวงหา เมื่อไม่ได้ดังใจหวังก็เกิดความผิดหวัง น้อยใจ แต่ถึงแม้จะได้มา ก็ยังต้องทุกข์กับการรักษาสิ่งนั้นไว้ และกลัวว่าจะสูญเสียไปในที่สุด หนทางในการบรรเทาโลภะ คือการเจริญ "อโลภะ" ซึ่งหมายถึงความไม่อยากได้ในทางทุจริต และการเจริญ "ทาน" เพื่อสละความตระหนี่ รวมถึงการเจริญ "สันโดษ" คือความยินดีในสิ่งที่ตนมีอยู่ตามสมควร
โทสะ: ไฟแห่งความโกรธที่แผดเผาใจตนและคนรอบข้าง
โทสะ คือ ความโกรธ ความเกลียด ความขัดเคืองใจ ความพยาบาท อาฆาตแค้น เป็นพลังงานด้านลบที่รุนแรงและมีอำนาจทำลายล้างสูง เมื่อโทสะเข้าครอบงำจิตใจ สติปัญญาก็จะดับมืดลง ทำให้คนเราสามารถกระทำสิ่งเลวร้ายได้โดยไม่ยั้งคิด ตั้งแต่การพูดจาหยาบคาย ด่าทอ ไปจนถึงการทำร้ายร่างกายและประทุษร้ายชีวิต โทสะจึงเปรียบเสมือนไฟนรกที่แผดเผาจิตใจของผู้ที่โกรธให้รุ่มร้อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะลุกลามไปทำร้ายผู้อื่น
ต้นตอของโทสะมักเกิดจากการที่สิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่ตนคาดหวัง หรือเกิดจากการถูกกระทบกระทั่งจากคำพูดและการกระทำของผู้อื่น การดับโทสะนั้นต้องอาศัย "อโทสะ" คือความไม่คิดประทุษร้าย และการเจริญ "เมตตา" ซึ่งเป็นความรัก ความปรารถนาดีต่อผู้อื่นโดยไม่มีเงื่อนไข เมื่อเมตตาเกิดขึ้นในใจ ความโกรธเกลียดก็จะตั้งอยู่ไม่ได้ เหมือนความมืดที่ย่อมหายไปเมื่อมีแสงสว่างเกิดขึ้น
โมหะ: ความหลงผิด ต้นตอของกิเลสทั้งปวง
โมหะ คือ ความหลง ความไม่รู้ตามความเป็นจริง หรือที่เรียกว่า "อวิชชา" โมหะเป็นรากเหง้าที่ลึกซึ้งและอันตรายที่สุด เพราะมันเป็นต้นกำเนิดของทั้งโลภะและโทสะ เมื่อเราไม่รู้ความจริงของชีวิตว่าทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน (ไตรลักษณ์) เราจึงเกิดความอยากได้ในสิ่งที่น่าพอใจ (โลภะ) และเกิดความขัดเคืองใจในสิ่งที่ไม่น่าพอใจ (โทสะ)
โมหะทำให้เรามองโลกกลับตาลปัตร เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ทำให้เรายึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ว่าเป็น "เรา" เป็น "ของเรา" อย่างแท้จริง การกระทำทุกอย่างจึงวนเวียนอยู่กับการแสวงหาเพื่อตัวตนและปกป้องตัวตนนี้ไว้ นำไปสู่การสร้างกรรมและเวียนว่ายในวัฏสงสารไม่จบสิ้น การจะทำลายโมหะได้นั้น ต้องอาศัย "อโมหะ" หรือ "ปัญญา" ซึ่งเกิดจากการฟังธรรม การพิจารณา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เพื่อให้เห็นแจ้งในสภาวธรรมตามความเป็นจริง เมื่อปัญญาสมบูรณ์ อวิชชาก็จะถูกทำลายลง โลภะและโทสะก็จะหมดสิ้นไป นำไปสู่การดับทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง