
เมื่อพูดถึง "การปฏิบัติธรรม" หรือ "การภาวนา" ภาพที่หลายคนนึกถึงคือการนั่งหลับตานิ่งๆ เป็นชั่วโมงๆ ในห้องพระที่เงียบสงบ หรือการเดินจงกรมกลับไปกลับมาในพื้นที่ที่จัดเตรียมไว้ ซึ่งการปฏิบัติในรูปแบบเหล่านี้ (Formal Practice) เป็นสิ่งที่ดีและจำเป็นอย่างยิ่งในการสร้างกำลังของสติและสมาธิให้เข้มแข็ง แต่หัวใจที่แท้จริงของการนำธรรมะมาเปลี่ยนชีวิตนั้น อยู่ที่การนำสติที่ฝึกฝนมาได้นั้น มาประยุกต์ใช้ในทุกขณะของชีวิตประจำวัน หรือที่เรียกว่า "การภาวนาที่ไม่มีรูปแบบ" (Informal Practice) เพราะชีวิตของเราไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในห้องพระ แต่เกิดขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไป การฝึกสติในชีวิตประจำวันจึงเป็นการปฏิบัติธรรมที่ต่อเนื่องและทรงพลังที่สุด
สติในทางพุทธศาสนาคือ "ความระลึกรู้" หรือ "ความไม่ลืม" คือการที่จิตจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังปรากฏในปัจจุบันขณะ ไม่ล่องลอยไปในอดีตที่ผ่านไปแล้ว หรือฟุ้งซ่านไปในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง การฝึกสติในชีวิตประจำวันคือการนำจิตกลับมาอยู่กับ "ฐาน" ทั้ง 4 หรือที่เรียกว่า "สติปัฏฐาน 4" ซึ่งเป็นรากฐานของการเจริญวิปัสสนาญาณ
1. กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การมีสติระลึกรู้กาย) นี่คือฐานที่หยาบที่สุดและง่ายที่สุดสำหรับการเริ่มต้นฝึก เป็นการตามรู้การเคลื่อนไหวและสภาวะต่างๆ ของร่างกายในปัจจุบันขณะ
การฝึกรู้กายบ่อยๆ ทำให้เรา "กลับบ้าน" มาอยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบันได้เสมอ เป็นการสร้างหลักให้จิตได้เกาะ ไม่ให้เตลิดเปิดเปิงไปกับความคิดปรุงแต่ง
2. เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การมีสติระลึกรู้เวทนา) เวทนาคือ "ความรู้สึก" ที่เกิดขึ้นเมื่ออายตนะ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) กระทบกับอารมณ์ภายนอก แบ่งเป็น 3 อย่างคือ สุขเวทนา (ความรู้สึกสุขสบาย) ทุกขเวทนา (ความรู้สึกทุกข์ ไม่สบาย) และอทุกขมสุขเวทนา (ความรู้สึกเฉยๆ) คนส่วนใหญ่มักจะวิ่งเข้าหาความสุขและวิ่งหนีความทุกข์ ทำให้เกิดความยึดติดและความผลักไสอยู่ตลอดเวลา การฝึกคือการ "ดู" เวทนาที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง โดยไม่เข้าไปตัดสินหรือปรุงแต่งต่อ เมื่อมีความสุขเกิดขึ้น ก็แค่รู้ว่า "ความสุขเกิดขึ้น" โดยไม่หลงระเริงเพลิดเพลินจนเกินไป เมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้น ก็แค่รู้ว่า "ความทุกข์เกิดขึ้น" โดยไม่ตีโพยตีพายหรืออยากให้มันหายไปเร็วๆ เมื่อเราเฝ้าดูเวทนาด้วยใจที่เป็นกลาง เราจะเห็นสัจธรรมว่าทั้งสุขและทุกข์นั้นล้วนไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา การฝึกเช่นนี้จะทำให้เรามี "อุเบกขา" คือความวางใจเป็นกลางต่อทุกอารมณ์ที่ผ่านเข้ามา ไม่ว่าชีวิตจะเจอเรื่องดีหรือร้าย เราก็จะสามารถตั้งรับได้อย่างมั่นคง
3. จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การมีสติระลึกรู้จิต) คือการตามรู้ "สภาวะของจิต" ในขณะนั้นๆ ว่าเป็นอย่างไร เช่น จิตมีราคะ (อยากได้) หรือจิตปราศจากราคะ, จิตมีโทสะ (โกรธ) หรือจิตปราศจากโทสะ, จิตมีโมหะ (หลง) หรือจิตปราศจากโมหะ, จิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่าน, จิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิ การฝึกคือการมองจิตเหมือนมองดูตัวละครบนเวที เราเป็นเพียง "ผู้ดู" ไม่ใช่ "ผู้แสดง" เมื่อความโกรธเกิดขึ้น ก็รู้ว่า "จิตกำลังโกรธ" ไม่ใช่ "ฉันกำลังโกรธ" การที่เราสามารถแยก "ผู้รู้" ออกจาก "สิ่งที่ถูกรู้" ได้นี้ เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เราไม่ถูกอารมณ์ครอบงำ เราจะเห็นว่าอารมณ์ต่างๆ ก็เป็นเพียงสภาวะที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา การรู้ทันจิตบ่อยๆ จะทำให้เราเท่าทันกิเลสของตัวเองและสามารถจัดการกับมันได้ก่อนที่มันจะลุกลามใหญ่โต
4. ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน (การมีสติระลึกรู้ธรรม) "ธรรม" ในที่นี้หมายถึงสภาวธรรม หรือความจริงตามธรรมชาติ เป็นการพิจารณาให้เห็นว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในกายและใจนั้น ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎแห่งไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกขัง (เป็นทุกข์ ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้) และอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้) การฝึกคือการนำสภาวะที่เห็นจากฐานกาย เวทนา และจิต มาพิจารณาด้วยปัญญา เช่น เมื่อเห็นความโกรธเกิดขึ้น (จิตตานุปัสสนา) ก็เห็นต่อไปว่าความโกรธนี้ไม่เที่ยง เดี๋ยวก็หายไป (อนิจจัง) การถูกความโกรธครอบงำเป็นทุกข์ (ทุกขัง) และเราไม่สามารถบังคับไม่ให้มันเกิด หรือสั่งให้มันหายไปได้ดั่งใจ (อนัตตา) การเห็นความจริงเช่นนี้ซ้ำๆ จะค่อยๆ คลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน (สักกายทิฏฐิ) ลงไปได้
การนำสติปัฏฐาน 4 มาใช้ในชีวิตประจำวันคือการเปลี่ยนทุกกิจกรรมให้เป็นการภาวนา ขณะล้างจาน ก็รู้ถึงสัมผัสของน้ำและฟองสบู่ ขณะติดอยู่บนถนนที่รถติด ก็กลับมารู้ลมหายใจแทนที่จะหงุดหงิด ขณะสนทนากับผู้อื่น ก็ฟังอย่างตั้งใจและมีสติรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นในใจตนเอง ชีวิตจะกลายเป็นห้องปฏิบัติธรรมขนาดใหญ่ การเปลี่ยนแปลงจะไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะตอนที่เราไปวัด แต่จะเกิดขึ้นในทุกขณะจิต ทำให้เรากลายเป็นคนใหม่ที่ตื่นรู้ สงบ และมีปัญญาในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง