
ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายในชีวิตทางโลก เช่น ความสำเร็จในการศึกษา การทำงาน หรือการสร้างฐานะ หรือเป้าหมายสูงสุดในทางธรรมคือการบรรลุมรรคผลนิพพาน ล้วนต้องอาศัย "หนทาง" หรือ "เครื่องมือ" ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จนั้นๆ ในพระพุทธศาสนา หลักธรรมที่เปรียบเสมือนกุญแจสี่ดอกหรือคุณธรรม 4 ประการที่จะไขประตูไปสู่ความสำเร็จทุกระดับชั้นเรียกว่า "อิทธิบาท 4" คำว่า "อิทธิ" แปลว่า ความสำเร็จ ความฤทธิ์ ส่วนคำว่า "บาท" แปลว่า ทาง หรือฐาน อิทธิบาท 4 จึงหมายถึง ฐานหรือหนทางที่นำไปสู่ความสำเร็จตามที่ปรารถนา เป็นหลักธรรมที่ทรงพลังและสามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิต เป็นสูตรสำเร็จที่พระพุทธองค์ทรงใช้ในการบำเพ็ญเพียรจนตรัสรู้ และเป็นสิ่งที่บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ต่างก็มีอยู่เป็นพื้นฐานในตนเองทั้งสิ้น หลักธรรม 4 ประการนี้ประกอบด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา
ฉันทะ คือ ความพอใจ ความรักใคร่ ความกระตือรือร้น และความเต็มใจที่จะทำในสิ่งนั้นๆ เป็นแรงผลักดันภายในที่เกิดขึ้นเองโดยไม่ได้ถูกใครบังคับ เป็นความรู้สึก "อยากทำ" เพราะเห็นคุณค่าและประโยชน์ในสิ่งที่จะทำนั้น ฉันทะเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นหัวใจที่สำคัญที่สุดของอิทธิบาท 4 หากขาดฉันทะเสียแล้ว ข้ออื่นๆ ก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้
ลองนึกภาพนักวิทยาศาสตร์ที่หลงใหลในการค้นคว้าวิจัย หรือศิลปินที่รักในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ พวกเขาสามารถทุ่มเทเวลาและพลังงานให้กับงานนั้นๆ ได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะพวกเขามี "ฉันทะ" เป็นตัวนำทาง ในการทำงาน หากเราทำงานที่เรารัก เราจะรู้สึกสนุกและมีความสุขไปกับมัน แต่ถ้าเราต้องทำงานที่ไม่ชอบ เราจะรู้สึกเหมือนถูกบังคับและไม่มีความสุข
การสร้างฉันทะทำได้โดยการมองให้เห็นคุณค่าและประโยชน์ของสิ่งที่จะทำ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และการสร้างทัศนคติเชิงบวกต่องานนั้นๆ ในทางธรรม ฉันทะคือความพอใจในการปฏิบัติธรรม พอใจในการทำความดี พอใจในการละกิเลส เพราะเล็งเห็นผลคือความพ้นทุกข์อันเป็นประโยชน์สูงสุด
เมื่อมีฉันทะเป็นตัวจุดประกายแล้ว ลำดับต่อไปคือ "วิริยะ" ซึ่งหมายถึงความพากเพียรพยายาม ความขยันหมั่นเพียร และความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับอุปสรรคและความยากลำบากโดยไม่ย่อท้อ วิริยะคือพลังในการขับเคลื่อนให้ลงมือทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ แม้จะต้องล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่ก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจ
วิริยะมีลักษณะ 3 ประการ คือ 1) อารัมภวิริยะ: ความเพียรที่จะเริ่มต้นลงมือทำ ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง 2) นิขันธวิริยะ: ความเพียรที่ทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ทอดทิ้งกลางคัน และ 3) ปรากกรมวิริยะ: ความเพียรที่จะบุกบั่นก้าวหน้าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงเป้าหมาย
ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ไม่เคยได้มาโดยง่าย ทุกเส้นทางย่อมมีขวากหนาม วิริยะคือคุณธรรมที่จะช่วยให้เราก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ เหมือนน้ำที่ค่อยๆ หยดลงบนหินทุกวัน ในที่สุดหินก็ยังกร่อนได้ฉันใด ความพยายามอย่างไม่ลดละย่อมนำไปสู่ความสำเร็จได้ฉันนั้น ในทางธรรม วิริยะคือความเพียรในการละบาป บำเพ็ญบุญ และชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ (สัมมัปปธาน 4) ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
ในขณะที่ลงมือทำด้วยความพากเพียรนั้น จำเป็นต้องมี "จิตตะ" ซึ่งหมายถึง ความเอาใจใส่ การมีสติจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ ไม่ปล่อยให้จิตใจเลื่อนลอย ฟุ้งซ่าน หรือวอกแวกไปในเรื่องอื่น จิตตะคือการทุ่มเทสมาธิและหัวใจทั้งหมดให้กับงานตรงหน้า ทำให้งานที่ทำมีคุณภาพและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
หากเราอ่านหนังสือไปพร้อมกับดูโทรทัศน์ เราย่อมไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาของหนังสือได้อย่างเต็มที่ฉันใด การทำงานโดยขาดจิตตะ ก็ย่อมเกิดความผิดพลาดได้ง่ายและได้ผลงานที่ไม่ดีฉันนั้น จิตตะคือการ "อยู่กับปัจจุบันขณะ" ของการกระทำนั้นๆ เป็นการนำพลังของจิตทั้งหมดมารวมศูนย์ไว้ที่จุดเดียว
การฝึกจิตตะคือการฝึกสติและสมาธิไปในตัว ทำให้เราสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความผิดพลาด และยังทำให้จิตใจสงบ ไม่เครียด เพราะไม่ได้คิดกังวลถึงเรื่องอดีตหรืออนาคต ในทางธรรม จิตตะคือการมีสติจดจ่ออยู่กับอารมณ์กรรมฐาน เช่น ลมหายใจเข้าออก ซึ่งเป็นหัวใจของการทำสมาธิภาวนา
องค์ประกอบสุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือ "วิมังสา" ซึ่งหมายถึง การใช้สติปัญญาในการพิจารณาไตร่ตรอง ทดลอง และตรวจสอบหาเหตุผลในสิ่งที่ทำอยู่เสมอ วิมังสาคือการทำงานอย่างฉลาด ไม่ใช่ทำแบบสุ่มสี่สุ่มห้า เป็นการรู้จักวางแผน ตรวจสอบผล และหาทางปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องเพื่อให้งานดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา
วิมังสาคือกระบวนการ "Plan-Do-Check-Act" (PDCA) ในทางพุทธศาสนานั่นเอง ก่อนจะทำก็ต้องมีการวางแผน (Plan) เมื่อลงมือทำ (Do) ก็คอยตรวจสอบ (Check) อยู่เสมอว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ผลลัพธ์เป็นอย่างไร และหาทางปรับปรุงแก้ไข (Act) ให้ดียิ่งขึ้นไป วิมังสาช่วยป้องกันไม่ให้เราเดินหลงทางหรือทำผิดพลาดซ้ำๆ ซากๆ
นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จต้องมีวิมังสาในการวิเคราะห์ตลาดและปรับกลยุทธ์อยู่เสมอ นักวิทยาศาสตร์ต้องมีวิมังสาในการตั้งสมมติฐานและทดลองเพื่อหาคำตอบ ในทางธรรม วิมังสาคือปัญญาที่ใช้พิจารณาสภาวธรรมตามความเป็นจริง ว่าสิ่งใดเป็นกุศล สิ่งใดเป็นอกุศล สิ่งใดควรเจริญ สิ่งใดควรละ จนกระทั่งเห็นแจ้งในอริยสัจ 4
อิทธิบาท 4 คือหลักธรรมที่สมบูรณ์ในตัวเอง เริ่มต้นด้วยความรัก (ฉันทะ) ขับเคลื่อนด้วยความเพียร (วิริยะ) กำกับด้วยความใส่ใจ (จิตตะ) และนำทางด้วยปัญญา (วิมังสา) ไม่ว่าใครก็ตามที่สามารถนำหลักธรรมทั้ง 4 ประการนี้ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างครบถ้วนและสมดุล ย่อมสามารถบรรลุถึงความสำเร็จที่ตนปรารถนาได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จในระดับใดก็ตาม