
ในขณะที่พระพุทธศาสนามุ่งเน้นการพัฒนาตนเองเพื่อการหลุดพ้นจากทุกข์ส่วนตนเป็นเป้าหมายสูงสุด แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุขและเกื้อกูล หลักธรรมที่เป็นหัวใจในการสร้างปฏิสัมพันธ์อันดีงามระหว่างมนุษย์ด้วยกัน คือ "พรหมวิหาร 4" หรือธรรมะของผู้เป็นใหญ่ (พรหม) ธรรมะประจำใจอันประเสริฐ 4 ประการนี้ หากบุคคลใดได้เจริญให้มีขึ้นในตนแล้ว บุคคลนั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้มี "ใจพรหม" เป็นที่รักและเคารพของคนและสัตว์ทั้งหลาย และทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้นอย่างมหาศาล พรหมวิหาร 4 ประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ซึ่งเป็นคุณธรรมที่ช่วยปรับสมดุลของจิตใจให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่างๆ ที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เป็นเครื่องมือชั้นเลิศในการขจัดความขัดแย้งและสร้างสรรค์สังคมที่เปี่ยมด้วยความรักและความเข้าใจ
เมตตา คือ ความรักที่บริสุทธิ์ เป็นความปรารถนาดี อยากให้ผู้อื่นมีความสุข ปราศจากความทุกข์ โดยไม่มีเงื่อนไข ไม่จำกัดขอบเขต ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นคนรัก มิตร หรือแม้กระทั่งศัตรู เมตตาเป็นความรู้สึกพื้นฐานที่ต้องการเห็นสรรพสัตว์ทั้งปวงอยู่เย็นเป็นสุข ลักษณะของเมตตาคือความเย็นใจ ความเป็นมิตร และความไม่คิดเบียดเบียน
ศัตรูโดยตรง ของเมตตาคือ "พยาบาท" หรือความโกรธแค้น อาฆาตมาดร้าย ส่วน ศัตรูแฝง (ศัตรูใกล้) คือ "ราคะ" หรือความรักที่เจือด้วยความใคร่และความต้องการครอบครอง ซึ่งเป็นความรักที่เห็นแก่ตัวและมีเงื่อนไข
การเจริญเมตตาเริ่มต้นจากการแผ่ความรู้สึกดีๆ ให้กับตนเองก่อน ("ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข ปราศจากความทุกข์") เมื่อใจเราเปี่ยมสุขแล้ว จึงค่อยแผ่ขยายความรู้สึกนั้นออกไปยังบุคคลอันเป็นที่รัก บิดามารดา ญาติมิตร เพื่อนฝูง คนทั่วไป สัตว์ทั้งหลาย และสุดท้ายคือผู้ที่เราไม่ชอบหรือเป็นศัตรู การฝึกเช่นนี้เป็นประจำจะช่วยลดทอนกำลังของความโกรธและความเกลียดชังในใจ ทำให้จิตใจอ่อนโยนและมองโลกในแง่ดี
กรุณา คือ ความรู้สึกสงสารเมื่อเห็นผู้อื่นกำลังประสบกับความทุกข์ ความเดือดร้อน และเกิดความปรารถนาที่จะเข้าไปช่วยเหลือให้เขาพ้นจากความทุกข์นั้น กรุณาเป็นคุณธรรมที่กระตุ้นให้เกิดการลงมือช่วยเหลือผู้อื่น เป็นภาคปฏิบัติของความรัก ในขณะที่เมตตาคือการ "อยากให้เขามีสุข" กรุณาคือการ "อยากให้เขาพ้นทุกข์"
ศัตรูโดยตรง ของกรุณาคือ "วิหิงสา" หรือความคิดเบียดเบียน การซ้ำเติม ส่วน ศัตรูแฝง คือ "โสกะ" หรือความเศร้าโศกเสียใจไปกับความทุกข์ของผู้อื่นจนเกินพอดี ทำให้ตนเองก็จมอยู่กับความทุกข์นั้นไปด้วยจนไม่สามารถช่วยเหลือใครได้ กรุณาที่แท้จริงจะต้องมีปัญญาประกอบ คือช่วยเท่าที่ช่วยได้โดยที่ตนเองไม่เดือดร้อนจนเกินไป
การเจริญกรุณาคือการมองเห็นความทุกข์ของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย ความยากจน หรือความทุกข์ใจ แล้วเกิดจิตสำนึกที่อยากจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือตามกำลังความสามารถ การมีกรุณาทำให้เราไม่นิ่งดูดายต่อความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ เป็นบ่อเกิดของการเสียสละและงานอาสาสมัครต่างๆ ที่ช่วยจรรโลงสังคม
มุทิตา คือ ความชื่นชมยินดีอย่างจริงใจเมื่อเห็นผู้อื่นประสบความสำเร็จ มีความสุข หรือได้ดีมีสุข ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องทรัพย์สิน ตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือคุณงามความดีก็ตาม มุทิตาเป็นคุณธรรมที่ช่วยกำจัดความอิจฉาริษยาซึ่งเป็นกิเลสที่ร้ายกาจและบั่นทอนจิตใจได้อย่างดีเยี่ยม
ศัตรูโดยตรง ของมุทิตาคือ "ความอิจฉาริษยา" (อิสสา) ซึ่งเป็นความรู้สึกร้อนรุ่ม ไม่พอใจเมื่อเห็นผู้อื่นได้ดีกว่าตน ส่วน ศัตรูแฝง คือ "ความร่าเริง" หรือความเพลิดเพลินแบบโลกๆ ที่ขาดสติ เช่น การดีใจไปกับการพนันขันต่อ ซึ่งไม่ใช่ความยินดีที่เกิดจากคุณธรรม
การเจริญมุทิตาคือการฝึกมองเห็นความสำเร็จของผู้อื่นด้วยใจที่เปิดกว้างและชื่นชมยินดีด้วยความจริงใจ เมื่อเพื่อนได้เลื่อนตำแหน่ง เราก็ยินดีด้วย เมื่อเห็นคนทำความดี เราก็อนุโมทนาสาธุการ การมีมุทิตาทำให้จิตใจโปร่งเบา มีความสุขไปกับความสุขของผู้อื่นได้ง่าย และสร้างบรรยากาศของความปรารถนาดีต่อกันในสังคม ทำให้ปราศจากการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน
อุเบกขา คือ ความวางใจเป็นกลาง การมีจิตใจที่สงบ มั่นคง และไม่หวั่นไหวไปตามกระแสของโลกธรรม 8 คือ มีลาภ-เสื่อมลาภ, มียศ-เสื่อมยศ, มีสรรเสริญ-มีนินทา, มีสุข-มีทุกข์ อุเบกขาในพรหมวิหาร 4 มีความหมายเฉพาะเจาะจง คือ การวางเฉยอย่างมีปัญญาเมื่อเราไม่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้อีกต่อไปแล้ว หรือเมื่อต้องพิจารณาในเรื่องของกรรม
อุเบกขาจะเข้ามาทำหน้าที่เมื่อเมตตา กรุณา และมุทิตาได้ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่แล้ว เช่น เราได้พยายามช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างเต็มที่ แต่เขาก็ยังต้องเสียชีวิตไปตามกฎแห่งกรรม หรือเมื่อลูกหลานทำผิดและต้องได้รับโทษตามกฎหมาย เราก็ต้องวางใจเป็นกลางยอมรับผลนั้น อุเบกขาช่วยป้องกันไม่ให้เราเศร้าโศกหรือลำเอียงจนเกินเหตุ
ศัตรูโดยตรง ของอุเบกขาคือ "ราคะ" และ "ปฏิฆะ" คือความรักความชอบใจและความเกลียดชังซึ่งทำให้ใจลำเอียง ส่วน ศัตรูแฝง คือ "ความเฉยเมย" หรือความไม่ใส่ใจอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นความเย็นชาที่เกิดจากความไม่รู้ ไม่ใช่ความสงบที่เกิดจากปัญญา
พรหมวิหาร 4 เป็นธรรมะที่ต้องใช้ให้ถูกกับสถานการณ์ เมื่อผู้อื่นอยู่ในภาวะปกติ เราใช้ "เมตตา" เมื่อเขาประสบทุกข์ เราใช้ "กรุณา" เมื่อเขาประสบสุข เราใช้ "มุทิตา" และเมื่อเราทำเต็มที่แล้วหรือเมื่อเป็นเรื่องของกรรม เราก็ต้องใช้ "อุเบกขา" การเจริญธรรมะทั้ง 4 ประการนี้อย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เรากลายเป็นบุคคลที่มีวุฒิภาวะทางอารมณ์สูง สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและสร้างสรรค์ เป็นที่พึ่งพิงทางใจให้แก่คนรอบข้างได้อย่างแท้จริง