
ในเส้นทางการศึกษาธรรมะเพื่อความพ้นทุกข์ หนึ่งในแนวคิดที่สำคัญที่สุดซึ่งช่วยไขความลับของ "ตัวเรา" คือเรื่อง "ขันธ์ 5" หรือที่เรียกว่า "เบญจขันธ์" หลักธรรมนี้เป็นการวิเคราะห์และแยกแยะองค์ประกอบของสิ่งที่เรารวบรัดเรียกว่า "ชีวิต" "บุคคล" หรือ "ตัวตน" ออกเป็น 5 ส่วน หรือ 5 กอง (ขันธ์ แปลว่า กอง, หมวด, หมู่) การทำความเข้าใจเรื่องขันธ์ 5 อย่างลึกซึ้งเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การเห็นแจ้งในหลัก "อนัตตา" (ความไม่ใช่ตัวตน) ซึ่งเป็นหนึ่งในไตรลักษณ์ และเป็นปัญญาขั้นสูงสุดที่จะทำลายอวิชชาและความยึดมั่นถือมั่นอันเป็นรากเหง้าของความทุกข์ทั้งมวล พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่องขันธ์ 5 เพื่อให้เราเห็นว่า "ตัวตน" ที่เราสมมติขึ้นและยึดถือไว้อย่างเหนียวแน่นนั้น แท้จริงแล้วไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงการประชุมกันชั่วคราวขององค์ประกอบ 5 ส่วนนี้เท่านั้น
รูปขันธ์ คือ องค์ประกอบทั้งหมดที่เป็นส่วนของร่างกายหรือสสาร เป็นสิ่งที่รับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส จับต้องได้ มีการแตกสลายไปเป็นธรรมดา รูปขันธ์ประกอบขึ้นจากธาตุพื้นฐาน 4 อย่าง (มหาภูตรูป 4) ได้แก่
ร่างกายนี้ไม่ใช่ "เรา" หรือ "ของเรา" อย่างแท้จริง มันเป็นเพียงการรวมตัวของธาตุ 4 ที่เราหยิบยืมมาจากธรรมชาติ เมื่อถึงเวลา มันก็ต้องเสื่อมสลายคืนสู่ธรรมชาติไปตามเดิม เราไม่สามารถบังคับบัญชาร่างกายนี้ได้โดยสมบูรณ์ ไม่สามารถสั่งไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ หรือไม่ให้ตายได้ การพิจารณารูปขันธ์ตามความเป็นจริงเช่นนี้ ช่วยลดความยึดติดในรูปร่างหน้าตาและความเป็นเจ้าของร่างกายลงได้
เวทนาขันธ์ คือ องค์ประกอบที่เป็นความรู้สึก หรือการเสวยอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีการกระทบกันระหว่างอายตนะภายใน (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) กับอายตนะภายนอก (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์) เวทนาแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะใหญ่ๆ คือ
เวทนาเหล่านี้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปอย่างรวดเร็วอยู่ตลอดเวลา มันไม่ใช่ "เรา" ที่กำลังรู้สึก แต่เป็นเพียง "ความรู้สึก" ที่เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย แต่โดยปกติแล้ว ปุถุชนเมื่อเกิดสุขเวทนาก็จะเกิดความชอบใจ (นันทิ) และนำไปสู่ความอยาก (ตัณหา) ที่จะให้มีอีก เมื่อเกิดทุกขเวทนาก็จะเกิดความไม่ชอบใจ (ปฏิฆะ) และนำไปสู่ความอยากที่จะผลักไสออกไป การมีสติเท่าทันเวทนาที่เกิดขึ้น จะทำให้เราไม่ตกเป็นทาสของมัน สามารถมองเห็นมันเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นและดับไป
สัญญาขันธ์ คือ องค์ประกอบที่เป็นความจำได้หมายรู้ในอารมณ์ต่างๆ ทำหน้าที่กำหนดรู้ลักษณะของสิ่งต่างๆ ที่เข้ามากระทบ เช่น จำได้ว่านี่คือสีแดง นั่นคือเสียงนก นี่คือกลิ่นดอกไม้ คนนี้ชื่อนาย ก. คนนั้นชื่อนาง ข. สัญญาทำหน้าที่เหมือนป้ายชื่อที่คอยติดฉลากให้กับทุกสิ่งที่เรารับรู้
สัญญานั้นไม่เที่ยงและไม่แน่นอน ความจำอาจผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงได้ และความจำที่เราเก็บสะสมไว้นี่เองที่เป็นตัวสร้าง "สมมติบัญญัติ" ต่างๆ ขึ้นมาในโลก ทำให้เราแบ่งแยก นี่คือเรา นั่นคือเขา นี่คือพวกเรา นั่นคือพวกมัน การมีสติรู้เท่าทันสัญญา จะทำให้เราไม่หลงไปกับสิ่งที่จำได้หมายรู้ ไม่ตัดสินสิ่งต่างๆ จากภาพจำในอดีต และสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็นในปัจจุบันขณะได้ชัดเจนขึ้น
สังขารขันธ์ คือ องค์ประกอบที่เป็นความคิดปรุงแต่งของจิต เป็นตัวที่กระทำการทางจิต (เจตนา) ทั้งที่เป็นฝ่ายดี (กุศล) ฝ่ายไม่ดี (อกุศล) และฝ่ายที่เป็นกลางๆ (อัพยากฤต) สังขารขันธ์เป็นตัวการสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการกระทำทางกาย วาจา และใจ (กรรม) ซึ่งจะส่งผลต่อไปในอนาคต
ความคิดต่างๆ เช่น ความรัก ความเกลียด ความเมตตา ความอิจฉา ความเพียร ความท้อแท้ ล้วนเป็นสังขารทั้งสิ้น สังขารเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็วที่สุดในบรรดาขันธ์ทั้ง 5 ความคิดเรื่องหนึ่งดับไป ความคิดเรื่องใหม่ก็เกิดขึ้นมาแทนที่ต่อเนื่องกันไปไม่สิ้นสุด หากเราขาดสติ เราจะหลงคิดว่า "เรา" เป็นผู้คิด และยึดถือความคิดนั้นๆ ว่าเป็นตัวตนของเรา ทำให้เกิดความทุกข์เมื่อความคิดไม่เป็นดั่งใจ การฝึกสติทำให้เราเป็นเพียง "ผู้ดู" ความคิด สามารถมองเห็นความคิดปรุงแต่งเหล่านี้เป็นเพียงแขกที่แวะเวียนเข้ามาในบ้านของจิตใจ แล้วก็จากไป
วิญญาณขันธ์ คือ องค์ประกอบที่เป็นความรู้แจ้งในอารมณ์ หรือ "จิต" ที่ทำหน้าที่รับรู้เมื่ออายตนะภายในและภายนอกกระทบกัน เช่น เมื่อตากระทบรูป ก็เกิด "จักขุวิญญาณ" (การเห็น) ขึ้น เมื่อหูกระทบเสียง ก็เกิด "โสตวิญญาณ" (การได้ยิน) ขึ้น เมื่อใจกระทบธรรมารมณ์ ก็เกิด "มโนวิญญาณ" (การรู้เรื่องทางใจ) ขึ้น วิญญาณทำหน้าที่เพียง "รับรู้" เท่านั้น ไม่ได้ทำหน้าที่ "รู้สึก" (เป็นหน้าที่ของเวทนา) หรือ "จำ" (เป็นหน้าที่ของสัญญา)
วิญญาณเกิดขึ้นและดับไปพร้อมกับอารมณ์ที่มันรับรู้ มันไม่สามารถเกิดขึ้นลอยๆ ได้ ต้องอาศัยเหตุปัจจัยเสมอ วิญญาณจึงไม่ใช่ตัวตนอมตะหรือดวงชีวันที่ท่องเที่ยวไปในภพต่างๆ ตามความเชื่อเดิมๆ แต่เป็นเพียงธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ทำหน้าที่รับรู้เท่านั้น
การแยกแยะชีวิตออกเป็นขันธ์ 5 ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ไม่มีส่วนไหนเลยที่เป็น "ตัวตน" ที่เที่ยงแท้และควบคุมได้ สิ่งที่เราเรียกว่า "ตัวเรา" เป็นเพียงกระแสของรูปธรรมและนามธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปตามเหตุปัจจัยอย่างต่อเนื่องเท่านั้น เมื่อปัญญาเห็นแจ้งเช่นนี้ ความยึดมั่นว่า "มีเรา" ก็จะคลายลง ความทุกข์ที่เกิดจากการปกป้องและแสวงหาเพื่อ "ตัวเรา" ก็จะลดน้อยลงไป จนกระทั่งดับสิ้นไปในที่สุด